นี่เป็นรีวิวที่ใช้เวลาในการเขียนรีวิวนานที่สุด ใช้ความคิดในการรีวิวเยอะที่สุด เป็นรีวิวที่เขียนยากที่สุด และต้องปรับเนื้อหาที่เขียนกว่า 27 หน้า ให้อยู่รวมรัดมากขึ้นในสโคปที่ได้อ่านกันอยู่นี้ แต่ยังได้เนื้อหาที่ครบถ้วนคงเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง ต้องยอมรับว่านี่เป็นเกมที่รีวิวยากที่สุดในชีวิตเกมเมอร์ของผู้รีวิวเลยก็ว่าได้ การรีวิวเกมนี้เปรียบเหมือนเป็นไบโพลาร์เลยทีเดียว เพราะสิ่งที่ชอบในเกมนี้คือมีเยอะมากในระดับที่คลั่งไคล้หลงไหล แต่สิ่งที่ไม่ชอบนี่ก็ถึงขั้นหั่นคะแนนสับกันยับๆ และพอยิ่งเป็นแฟนซีรี่ส์นี้ ยิ่งทำให้ไม่รู้ว่าจะนำเสนอในด้านไหนดี เพราะเป็นเกมที่ทั้งรักทั้งเกลียดไปพร้อมๆ กัน ดั่งความรักแบบ Toxic Relationship… ดังนั้นถ้าใครอ่านรีวิวนี้แล้วรู้สึกสับสน ไม่ต้องแปลกใจนะครับ…
- - - - - - - - - - - - - - -
หลังจากห่างหายจากภาคหลักมายาวนานนับสิบปี ในที่สุดปู่ก็ได้ออกภาคใหม่ที่แฟนๆ รอคอยกันซะที และเป็นภาคที่ไม่ได้แค่เป็นการอัปเกรดจากภาคก่อนๆ แต่เป็นการยกระดับ Arcade Racing ที่กล้าพลิกโฉมทุกอย่าง ตั้งแต่โครงสร้างโลก ปรับปรุงไปจนถึงระบบเกมเพลย์ และเข้าใจในการนำเสนอส่วนต่างๆ ที่อ้างอิงจากประสบการณ์ของผู้เล่น และกล้าเสี่ยงในการนำเสนออะไรใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อนในซีรี่ส์นี้ โดยผู้รีวิวได้ใช้เวลากับเกมนี้นับสิบๆ ชั่วโมง ตั้งแต่ระบบการแข่ง การออกแบบโลก ดนตรี ยันปัญหาและความหวังที่เรามีต่ออนาคตของมัน โดยมันไม่ใช่แค่ Mario Kart 9 ที่อัปเกรดกราฟิกกับเพิ่มด่านใหม่ ๆ เพราะ Mario Kart World เปลี่ยนทุกสิ่งจริงๆ
.
แต่แค่เริ่มต้นมา สิ่งพื้นฐานที่เคยทำได้ดีมากๆ ในภาคก่อน (และในเกมอื่นๆ ของปู่เอง) กลับสอบตกในหลายๆ ด้าน นั่นก็คือการออกแบบ User Interface [UI] โดยเฉพาะการเลือกตัวละครและคอสตูม ซึ่งในภาคนี้ถูกออกแบบให้ “แยกชุด = แยกตัวละคร” เช่น Mario ธรรมดา, Mario นักสำรวจ, Mario แดร็กคูล่า ถูกนับเป็น 3 ตัวเลือกในหน้าจอเลือกตัวละครไม่มีการรวมชุดอยู่ในปุ่มเดียว ต้องเลื่อนผ่านรายการยาวเหยียดไม่มีฟังก์ชันค้นหาหรือหมวดหมู่ตามซีรีส์ ธีมหรือประเภทตัวละคร มีแต่เรียงตามตัวละครกับตามที่ปลดล็อคเท่านั้น แถม preview ที่ต้องรอโหลดแอนิเมชันเต็มทุกครั้ง ให้การเลือกตัวละครเป็นเรื่องน่าเบื่อมาก โดยเฉพาะในเกมที่เน้นเล่นหลายรอบ และมีตัวละครให้ปลดล็อคมากมาย เทียบกับ Mario Kart 8 Deluxe ที่มีระบบ pop-up ให้เลือกสีและชุดภายในตัวละครเดียว ทำให้ MKW ยิ่งดูแย่ลงไปอีก จนมีคนต้องมาถึงขั้นทำ mockup ว่าถ้าปู่ใช้แนวทางแบบไหนถึงจะเหมาะสม เป็นการตั้งคำถามว่าปู่ปล่อยให้เกมที่มีการออกแบบ UI แย่ขนาดนี้ออกมาขายได้ยังไง
.
อีกอย่างหนึ่งที่ต้องตั้งคำถามกับภาคนี้คือระบบออนไลน์ ถึงแม้จะเสถียรขึ้น จำนวนผู้เล่นเยอะขึ้นจาก 12 คน เป็น 24 คน แต่ยังขาดลูกเล่นและโหมดต่างๆ แถมโหมดต่างๆ ที่เคยมีแต่ภาคก่อนๆ ก็หายไป เช่นไม่มีระบบตั้งล็อบบี้แบบ custom room หรือ lobby code สำหรับเล่นกับเพื่อนแบบเฉพาะกลุ่ม ไม่มีระบบไต่แรงค์หรือจัดอันดับประจำซีซันที่ชัดเจนที่ควรมีมาก และขาดโหมดแข่งขันแบบทีมในลักษณะ tournament ซึ่งการขาดส่วนนี้ทำให้ Mario Kart World อาจจะไม่ได้ Long Run ได้นานเท่าที่ควรเหมือนภาคที่แล้ว
.
แต่ข้อดีในส่วนของการออนไลน์ที่ยังคงแข็งแกร่งเช่น การแข่งแบบสุ่มเจอห้องเร็วกว่าภาคก่อน ความเสถียรของไอเทมไม่มีวาร์ปผิดตำแหน่งหรือ Lag ล่าช้าเหมือนภาคที่แล้ว มีการตอบสนองของ Match Lobby ดีขึ้น เหมาะสำหรับแข่งแบบ 24 คนพร้อมกัน
.
Core Gameplay ของภาคนี้ ยังคงเป็น Mario Kart แต่มันไม่เหมือนเดิม โดยระบบการควบคุมและการดริฟต์ในเกมนี้ถูกออกแบบใหม่หมด ดริฟต์ไม่ใช่หัวใจหลักอีกต่อไป แต่กลับมีระบบ Charge Jump, ไต่กำแพง, ไต่ราว และ ท่าหลบไอเทม ที่พลิกเกมได้แบบสุดโต่ง มันให้ความรู้สึกเหมือนเล่น Tony Hawk แบบขับรถมากกว่าการแข่งรถทั่วไป ซึ่งด้วยระบบใหม่เหล่านี้ กลายเป็นระบบที่บ่มเพาะเอเลี่ยนให้ถือกำเนิดขึ้น ถ้าเราไม่ได้ฝึกปรือมาจนทำได้แบบพวกเค้า บอกเลยว่ามือใหม่อาจจะไม่มีที่ยืนเลยทีเดียวถ้าสุ่มไปเจอห้องคน(เอเลี่ยน)เหล่านี้
.
โลก Open World อีกหนึ่งจุดขายที่ปู่เอามาชูโรงมาก เป็นฉากหลังที่กลายเป็นหัวใจของเกม และโดนพูดถึงเยอะที่สุด ที่สำคัญคือมันไม่ได้เป็นเพียงแค่ฉากให้ขับเล่นเท่ๆ แต่มันคือโครงสร้างหลักของทั้งเกม ที่ด้านหนึ่งก็ทำให้ภาคนี้เป็นภาคที่สุดยอดอย่างที่ไม่เคยมาก่อน และอีกด้านก็เป็นส่วนที่ทำให้ดึงภาคนี้ลงมาต่ำเตี้ยอย่างที่ไม่ควรจะเป็น
.
โลกของ MKW ถูกเชื่อมโยงกันอย่างแนบเนียน ไม่มีการโหลดฉากระหว่างแทร็ก ไม่มีเมนูเลือกสนามแบบเดิม ทุกสนามอยู่ในโลกเดียวกันทั้งหมด ไอเดียนี้ทำให้ทุกการแข่งกลายเป็นการเดินทางยาวๆ ต่อเนื่อง แบบที่ไม่เคยมีมาก่อนใน Mario Kart การขับรถจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่งเพื่อเริ่มการแข่งขัน กลายเป็นส่วนหนึ่งที่ดีมากๆ การขับระหว่างจุดเชื่อมของสนามที่แตกต่างกันมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้เล่น ทำให้สนามมีจุดเปลี่ยนที่หลากหลาย เส้นทางวิ่งที่แตกแขนงออกไปมากมาย ถึงแม้จะแข่งในสนามเดียวกัน แต่ถ้าจุดเริ่มของสนามนั้นหรือปลายทางจากสนามนั้นแตกต่างกัน ก็ทำให้เส้นทางในการแข่งขันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป และสนามต่างๆ ยังมีระบบเวลาและสภาพอากาศด้วย ทำให้บางทีถึงแม้ได้สนามเดิม แต่ก็ได้ฟีลในการขับที่แตกต่าง ยังรวมถึงการแสดงผลแสงเงา ฝุ่นควัน หมอก ละอองน้ำ ที่ทำได้สวยมาก
.
แผนที่โลกซับซ้อน มีรายละเอียดเยอะมาก ออกแบบสวยงามมาก แต่นอกจากในโหมดแข่งขันแล้ว โหมดอื่นเช่น Free Roam ถึงแม้โลกจะใหญ่และสวย แต่ระบบแผนที่กลับเป็นจุดที่น่าผิดหวังที่สุดในเกม ไม่สามารถปักหมุดหรือดูว่าเก็บของตรงไหนไปแล้ว ต้องขับรถวนเองเพื่อหา Collectible และแทบจะไม่มีการไกด์ผู้เล่นเลยว่าอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง ทำให้ส่วนของ Free Roam ช่างไร้จุดหมาย เหมือนขับเล่น เก็บไปงั้นๆ รางวัลที่ให้ในการเก็บได้ เรียกว่า”ขยะ”เลยยังได้ เพราะเป็นแค่สติ๊กเกอร์กากๆ ที่เลือกใช้ได้ทีละอัน โดยที่ไม่ได้สวย หรือส่งผลในแง่การใช้งานเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่เราต้องขับรถหาแทบเป็นแทบตาย บางทีเจอภารกิจที่กว่าจะผ่านได้ก็ปุ่มแทบแตก แล้วต้องมาได้รางวัลแบบนี้ ทำให้หลายๆ ครั้งก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่า “จะเก็บไปทำไมวะ”
.
ไอเดีย Side Missions ต่างๆ ที่อยู่ในโลก จริงๆ ก็ซ้ำซากมากอีกด้วย โดยหลักๆ มีแค่ 3 แบบ คือ P-Switch Missions โดยเราจะต้องไปเหยียบปุ่มเพื่อเล่น mini-game ซึ่งก็จะเป็นด่านพิเศษให้เรา แข่งทำเวลา, เก็บเหรียญ หรือไม่ก็ขับผ่านฉากที่พิศดาร ส่วนอีก 2 แบบอย่างเช่น Peach Medallions เป็นเหรียญที่เราจะต้องใช้เทคนิคในการขับเพื่อไปเก็บ จะเก็บยากๆ หน่อย และอีกแบบหนึ่งคือ [?] Panels เป็นแผ่นเหยียบตามพื้น ซึ่งจะต้องสังเกตุฉากและอาศัยความซนของเราในการค้นหา ซึ่งทั้ง 3 แบบนี้ รางวัลที่ได้คือสติกเกอร์ง่าวๆ ทั้งหมด โดยมีเพียง [?] Panel เท่านั้นที่เราจะเช็คได้ว่าในแต่ละสนามเราเก็บครบหรือยัง ส่วนแบบอื่นๆ นั้น ไม่มีให้เราดูแม้แต่อย่างเดียวว่าเราเก็บที่ไหนไปแล้วบ้าง หรือขาดที่ไหนบ้าง มีแค่จำนวนรวมทั้งหมดที่เราได้เท่านั้น
.
ด่ามาเยอะ มาดูสิ่งที่อยากชมบ้าง นั่นก็คือ ระบบแข่งแบบใหม่อย่าง Knockout GP ผสานรวมกับการเล่นแบบ 24 คน นิยามง่ายๆของโหมดนี้คือ มันคือสงครามความโกลาหล ทั้งมันส์ทั้งเดือดอย่างบอกไม่ถูก และมีชะตาในการถูกคัดออกเป็นเครื่องมือในการหยามเหยียด 555 โดยโหมดนี้จะเป็นโหมดการแข่งแบบ last-man-standing ในแผนที่ต่อเนื่อง โดยจากเริ่มที่ 24 คน จะค่อยๆ คัดออกเรื่อยๆ ทีละสนาม จนสุดท้ายเหลือแค่ 4 คนเพื่อชิงที่ 1 ซึ่งสนามในเกมถูกออกแบบมาให้รองรับจำนวนผู้เล่นได้ดีมาก การต่อสู้ช่วงโค้งสุดท้ายจึงดุเดือดยิ่งกว่าภาคไหนๆ และทุกคนพร้อมที่จะประเคนไอเท็มและเทคนิคต่างๆ เพื่อห้ำหั่นกันโดยไม่มียั้ง
.
ซึ่งตรงนี้ผู้แพ้จะถูกบังคับให้ดูคนอื่นเล่น ทำอะไรไม่ได้เลย แม้แต่จะเลือกดูคนที่อยากดูก็ไม่ได้ เกมจะบังคับให้เราดูผู้เล่นที่เกมกำหนดให้เท่านั้น
.
ระบบฟิสิกส์ในภาคนี้ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีมาก แรงกระเพื่อมของน้ำที่โดนผลกระทบจากไอเท็มหรือ Hazaad ต่างๆ มีอนิเมชันตัวละครและรถที่ละเอียดขึ้น สวยงามขึ้นมาก ฟิสิกส์รถและตัวละครทำได้ดีขึ้นมาก มีความน่ารัก ยืดหยุ่น เด้งดึ๋งดั๋งทั้งเกม ที่สำคัญมอไซค์ขับง่ายขึ้นมาก ทำให้น่าใช้มากยิ่งขึ้น เรายังสามารถขับรถไปสวมกับพาหนะไซส์ใหญ่คันอื่นได้ด้วย เช่นรถพ่วง เฮลิคอปเตอร์ หรือแม้แต่ UFO ซึ่งพลิกสถานการณ์ในการแข่งได้เยอะมาก
.
ทั้งหมดนี้แลกไปกับความหลากหลายที่ขาดหาย เช่นเราไม่สามารถปรับแต่งรถเลือก Part ได้อีกแล้ว แถม stat ของรถเหลือแค่ 4 ค่าสถานะจากเดิมมีถึง 6 สถานะ และตัดล้อแบบกราวิตี้ออก ทำให้การแข่งแบบหกคะเมนตีลังกาหายไปเยอะมากถึงแม้จะสัมผัสได้ถึงความพยายามที่จะให้เราได้หวือหวาอยู่บ้าง ที่สำคัญคือส่วนการขับใต้น้ำที่หายไป ซึ่งเป็นการออกแบบฉากที่ดีมากๆ ตั้งแต่ภาค 7 เสียดายมากๆๆๆๆๆ
.
ระบบปลดตัวละคร เป็นอีกส่วนหนึ่งที่รู้สึกบ้าบอมาก โอเคถึงแม้เหล่าตัวละครหลักจะปลดได้ตรมเงื่อนไขที่ไม่ได้ยากอะไร แต่ถ้าเราอยากจะปลดตัวละครประเภท NPC หรือศัตรู เราจะต้องโดนคำสาปของไอเท็ม Kamek ในสนามที่กำหนด ซึ่งโอกาสที่ศัตรูจะได้ไอเท็มนั้น และสาปโดนเราที่อยู่ข้างหน้าคือยากมากๆๆๆๆๆ ใครที่คิดจะเก็บตัวละครต้องมีท้อกันบ้าง แถมการเก็บอาหารในการแข่งขันจะกลายเป็นเรื่องไร้สาระไปเลย เพราะเราสามารถไปวิ่งเก็บใน Free Roam ให้ครบๆ ได้
.
อีกอย่างหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ BGM ประกอบ เพราะนี่เป็นอีกหนึ่งหัวใจของ Mario Kart World ยิ่งภาคนี้เป็นภาคที่ใส่เพลงประกอบต่างๆ เข้าไปอย่างบ้าคลั่ง กว่า 200 เพลง ซึ่งเป็นเพลงจากวงจริง ไม่มีเพลงสังเคราะห์ โดยเอาเพลงมาจากทั้ง Mario Kart และจักรวาล Super Mario ทั้งหมด มากันทุกสไตล์ทั้ง Big Band, Jazz, Brass และ Remix จากภาคเก่า ซึ่งถึงแม้จะยังเลือกฟังเพลงไม่ได้ แต่เพลงเหล่สนี้ก็มาบรรเลงตอนที่เราขับเล่นเพลินๆ ในโหมด Free Roam ทำให้ลืมความเลวร้ายของการเก็บ Collectable และน้ำตาซึมไปกับเพลงเพราะๆ
.
อื่นๆ ที่เสริมก็เช่นมี Photo Mode ที่หยุดถ่ายได้ตลอดเวลาแม้ตอนแข่งขัน(แบบเล่นคนเดียว) จัดมุม โพสท่า มีฟิลเตอร์ตามแบบฉบับ
.
มาถึงประเด็นสำคัญ กับคำถามที่เชื่อว่าเป็นธงในใจของหลายๆ คน ว่าเกมนี้ “คุ้มค่า 80$ มั้ย” คำตอบนี้บอกได้เลยว่ามันดูแพงเกินไปสำหรับเกมแข่งรถที่ดูไม่ค่อยมีอะไรจับต้องได้เป็นชิ้นเป็นอันถ้าเทียบกับปริมาณคอนเทนต์และคุณภาพของหลายๆ ด้าน ตามที่รีวิวมา แต่สำหรับแฟน Mario Kart ที่เล่นมาทุกภาค และต้องการเพียงแค่สนามที่แข่งสนุกๆ ไอเท็มมันส์ๆ เล่นออนไลน์กับเพื่อนและชาวโลกได้ทุกวัน มีตัวละครให้เลือกใช้มากมาย มีรถให้เลือกใช้เยอะๆ มีเทคนิคการขับที่ลึก มีโลกของเกมขนาดใหญ่เพลงโคตรดี และรายละเอียดอื่นๆ อีกมหาศาล โอเคเกมนี้ไม่ได้ปฏิวัติอะไรใหม่ๆ ให้กับวงการเลยแม้แต่น้อย ระบบหลายๆ อย่างก็มีมาแล้วจากเกมอื่นๆ ของค่ายอื่น แต่ว่ากับเกมนี้ มันคือของขวัญชิ้นใหญ่สำหรับแฟนๆ ที่รอคอยภาคใหม่มากว่าทศวรรษ ทำให้การตีความคำว่า “คุ้ม” ขึ้นอยู่กับว่าคุณเห็นคุณค่าตรงนี้รึเปล่า คุณต้องการอะไรจากเกมนี้ และมันมอบสิ่งนั้นให้คุณหรือไม่
- - - - - - - - - - - - - - -
สรุป: Mario Kart World สำหรับผู้รีวิว มันคือลูกรักที่เติบโตขึ้นไปอย่างมาก แต่ก็ยังมีหลายอย่างที่ต้องปรับปรุง และมารถปรับปรุงได้ (ผ่านการอัพเดท) อย่าง UI ห่วยๆ ในเมนูเลือกตัวละคร หรืออย่าง Battle Mode ที่โหรงเหรงมีคอนเทนต์ที่ดูแห้งแล้ง แต่ก็มี ยังมีช่องว่างให้เติมอีกเยอะ เช่นชุด DK ที่น้อยมาก หรือ Pauline ที่มีชุดเดียวแบบดูกั๊กๆ
.
แต่! ส่วนที่มันทำได้ดี มัน ทำได้ดีมาก ระบบใหม่ ๆ ทั้งโลกในเกมสนามที่เชื่อมกันแบบไร้รอยต่อและสนามเดิมที่กลับมาแบบมี Story ระบบฟิสิกส์ใหม่ เพลงที่เพราะและเยอะมาก ถึงแม้คอนเทนต์ดูเหมือนจะยังอั้นๆ กั๊กๆ ไว้ ถ้าจะมีอัพเดทกันต่อไปในอนาคตก็ดูแนวโน้มคือจะมีเพิ่มอีกเยอะแน่นอน แต่อย่าคิดที่จะมาเก็บตังกันอีกรอบนะ!
- - - - - - - - - - - - - - -
คะแนนในฐานะความเป็นแฟน - 9/10คะแนนในฐานะความเป็นกลาง - 6.5/10คะแนนในฐานะที่เกลียดเรื่องราคาและคอนเทนต์สวนทาง - 5/10Reviewer: #rookii
- - - - - - - - - - - - - - -
#LOVENINReview #NintendoSwitch2 #MarioKartWorld